
ประเภทของฟิลเลอร์ (Filler) มีกี่แบบ? เลือกให้เหมาะกับผิวและตำแหน่งฉีด
1. ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด – สำหรับการเก็บรายละเอียดผิวอย่างอ่อนโยน
ฟิลเลอร์ชนิดนี้มีลักษณะเนื้อเจลบางเบา คล้ายของเหลวแต่ยังมีความเหนียวเล็กน้อย จุดเด่นคือ ความอ่อนนุ่มสูงที่สุด เหมาะกับการฉีดในชั้นผิวตื้นเพื่อเติมเต็มริ้วรอยเล็ก ๆ และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า เหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง หรือผิวขาดน้ำ
เหมาะสำหรับ : เติมใต้ตา , ร่องน้ำหมากตื้น ๆ , ปรับผิวให้เนียนละเอียด
2. ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม – สำหรับผิวบางและจุดเล็ก ๆ
เป็นฟิลเลอร์ที่เนื้อเจลอ่อนนุ่มคล้ายเนื้อละเอียด แต่มี ความยืดหยุ่นต่ำกว่า และ สลายตัวเร็วกว่า เหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการปรับเล็กน้อย ไม่เน้นการยกกระชับหรือเปลี่ยนโครงสร้าง
เหมาะกับ : ร่องใต้ตา , ริมฝีปากบาง , รอยย่นเล็ก ๆ บริเวณหน้าผาก
3. ฟิลเลอร์เนื้อกลาง – เติมเต็มให้ดูธรรมชาติและมีมิติ
เนื้อเจลชนิดนี้มีความแน่นมากขึ้น แต่ยังคงนุ่มอยู่ระดับหนึ่ง และมีความยืดหยุ่นที่พอเหมาะ ทำให้สามารถคงรูปได้ดี โดยยังให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจน แต่ยังดูซอฟต์และไม่แข็งตึง
เหมาะกับ : ฉีดหน้าผากให้โหนกนูน , เติมขมับและแก้มตอบ , ปรับทรงปากให้ดูอิ่มสวย , ร่องแก้มและร่องน้ำหมาก
4. ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง – สร้างโครงหน้าและยกกระชับ
ฟิลเลอร์ชนิดนี้มีความหนาแน่นของเนื้อเจลมากที่สุด และให้ ความยืดหยุ่นสูง + คงตัวดีเยี่ยม เหมาะกับการใช้ฉีดเพื่อเสริมโครงสร้างใบหน้า หรือบริเวณที่ต้องการผลลัพธ์เด่นชัดและอยู่ได้นาน เหมาะสำหรับการปรับโครงหน้าแบบชัดเจนและต้องการความคงทน
เหมาะกับ : เสริมคางให้ยาวหรือแหลมขึ้น , ปรับรูปกรามและโหนกแก้ม , เติมจมูกหรือกรอบหน้า

โดยการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) แต่ละบริเวณ เป็นการฉีดเพื่อแก้ปัญหา ดังนี้
1. ฟิลเลอร์หน้าผาก – เติมมิติ เพิ่มโหงวเฮ้ง
สำหรับคนที่มีหน้าผากแบน หรือรูปหน้าขาดความนูน การฉีดฟิลเลอร์บริเวณหน้าผากช่วยปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติ ทำให้ภาพรวมดูละมุนมากขึ้น โดยเฉพาะเวลารวบผม แต่งหน้า หรือทำผมทรงเปิดหน้า
ข้อควรรู้: หน้าผากเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดจำนวนมาก ต้องใช้แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงในการฉีด เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
2. ฟิลเลอร์ขมับ – แก้ขมับตอบ เติมเต็มให้ใบหน้าดูหวาน
ฟิลเลอร์ขมับเหมาะสำหรับคนที่มีขมับยุบ ทำให้ใบหน้าดูโทรมหรือดูมีโหนกแก้มเด่นเกินไป การเติมเต็มบริเวณนี้จะช่วยให้โครงหน้าได้สมดุลมากขึ้น ดูละมุนและอ่อนเยาว์ขึ้น
คำแนะนำ: เป็นจุดที่เจ็บได้ง่าย เพราะเนื้อบาง และมีเส้นประสาทใกล้เคียง ต้องใช้เทคนิคละเอียด
3. ฟิลเลอร์ใต้ตา – ลดขอบดำ ริ้วรอย และเบ้าลึก
ใต้ตาลึก ขอบตาดำ หรือถุงใต้ตาเล็ก ๆ คือปัญหาที่หลายคนกังวล ฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยเติมเต็มให้ผิวบริเวณนี้เรียบเนียน สดใสขึ้นทันที
ข้อดีเพิ่มเติม: เหมาะกับคนที่ดูเหมือนพักผ่อนไม่พอ หรือมีปัญหาภูมิแพ้ที่ทำให้ใต้ตาคล้ำ
4. ฟิลเลอร์แก้ม – ปรับรูปหน้าให้ดูเด็กลง
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โครงกระดูกบริเวณแก้มจะเริ่มยุบตัว ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและโทรม การฉีดฟิลเลอร์ที่แก้มหรือบริเวณแก้มส้มช่วยเติมเต็มและยกพยุงโครงหน้า ให้ดูสดใสและอ่อนเยาว์
เหมาะกับ: ผู้ที่มีแก้มแบน แก้มตอบ หรือหน้าแก้มหย่อนคล้อย
5. ฟิลเลอร์ร่องแก้ม – คืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า
ร่องแก้มลึกคือหนึ่งในปัญหาที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อย ดูมีอายุ และทำให้มุมปากดูคว่ำ การฉีดฟิลเลอร์บริเวณนี้ช่วยยกใบหน้าให้กลับมาสดใส มีรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรมากขึ้นทันที
ผลลัพธ์: ใบหน้าดูอ่อนวัยลงอย่างเห็นได้ชัด
6. ฟิลเลอร์ปาก – เติมรูปทรง อวบอิ่ม สีอมชมพู
ริมฝีปากเป็นจุดเด่นของใบหน้า การฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยแก้ปัญหารูปปากบาง ร่องลึก หรือปากไม่สมมาตร รวมถึงช่วยให้ปากดูมีน้ำมีนวล ชุ่มชื้น และอมชมพูขึ้น เหมาะกับคนที่ต้องการลุคปากสวยรับลิปสติก
เทรนด์ฮิต: ปากทรงเกาหลี / ปากกระจับนิด ๆ / ปากอวบอิ่มธรรมชาติ
7. ฟิลเลอร์คาง – ปรับรูปหน้าเรียวยาว ไม่ต้องผ่าตัด
สำหรับคนที่มีคางสั้น คางตัด หรือรูปหน้าดูกลม การฉีดฟิลเลอร์คางจะช่วยเพิ่มความยาวให้คางอย่างเป็นธรรมชาติ ปรับหน้าให้เรียวสมส่วน โดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรม
ข้อดี: ปรับความยาวได้ตามต้องการ หากไม่ชอบสามารถสลายออกได้ง่าย
8. ฟิลเลอร์กรอบหน้า – สร้างมิติ โครงหน้าชัด
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้ามีมิติมากขึ้น ทั้งในเพศชายที่ต้องการกรอบหน้าคม เข้ม หรือเพศหญิงที่อยากให้ใบหน้าชัด มีกรอบที่เป๊ะขึ้น โดยการฉีดฟิลเลอร์บริเวณกรอบหน้าจะช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเล็กลงและสมส่วน
เหมาะกับ: คนที่มีใบหน้าเบลอ กรอบหน้าไม่ชัด หรือมีแก้มหย่อน
ฟิลเลอร์แต่ละแบรนด์ – จุดฉีด, เหมาะกับ, จุดเด่น
1. Neuramis (เกาหลี)
- จุดฉีดที่เหมาะสม: แก้มตอบ, คาง, ขมับ, ร่องแก้ม, ริ้วรอยทั่วหน้า, ริมฝีปาก, หน้าผาก
- เหมาะกับใคร: ผู้ที่ต้องการเติมเต็มหลายจุด ได้ลุคเป็นธรรมชาติ แต่ราคาไม่สูง
- จุดเด่น: มีหลากหลายรุ่น (Deep, Deep Lidocaine, Volume Lidocaine) ครอบคลุมตั้งแต่รอยตื้นจนลึก ใช้เทคโนโลยี SHAPE cross-link 2 ขั้น เพิ่มความคงตัว ความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองจาก FDA, KFDA, EDQM และ อย.ไทย อยู่ได้นานระดับ 6–24 เดือนแล้วแต่รุ่น
2. EPTQ / ULTRA V / Hyafilia (เกาหลี)
- จุดฉีดที่เหมาะสม: เติมผิวชุ่มชื้นทั่วหน้า แก้ม ร่องเล็ก
- เหมาะกับใคร: ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิว เติมความชุ่มชื้น ไม่ได้เน้นยกโครงหน้าชัด
- จุดเด่น: เนื้อเจลเนื้อละเอียด–กลาง อายุผลลัพธ์ประมาณ 6–8 เดือน
3. YVOIRE (เกาหลี – LG)
- จุดฉีดที่เหมาะสม: ทุกบริเวณของใบหน้า
- เหมาะกับใคร: ผู้ที่แพ้ง่าย ต้องการฟิลเลอร์ไม่ก่ออาการแพ้ อายุผลลัพธ์ประมาณ 1 ปี
- จุดเด่น: พัฒนาโดย LG Chem, ไม่ก่ออาการแพ้ เนื้อเจลกลาง-แข็ง, อยู่ได้ประมาณหนึ่งปี
4. JUVÉDERM (USA)
- รุ่นแนะนำ (เนื้อหลัก): Ultra, Ultra Plus, Volift, Voluma
- จุดฉีดที่เหมาะสม: ริ้วรอยลึก, แก้ม, ปากอวบอิ่ม, คาง, โครงหน้า
- เหมาะกับใคร: ต้องการผลลัพธ์ชัดเน้นโครงหน้าชัดเจน อยู่ได้นาน (1–2 ปี)
- จุดเด่น: เป็น HA filler ที่ได้รับการรับรองจาก FDA เนื้อยืดหยุ่นสูง ป้องกันการเคลื่อนตัวดี เยี่ยมสำหรับริมฝีปากและร่องแก้ม Ultra XC เหมาะกับริมฝีปากที่ต้องการเพิ่มปริมาณมาก Volbella เหมาะกับริมฝีปากเล็กหรือเติมริ้วรอยรอบปากเบา ๆ
5. Restylane (สวีเดน)
- รุ่น: Vital Light, Classic, Kiss, Volyme
- จุดฉีดที่เหมาะสม: ริ้วรอยรอบปาก, ร่องแก้ม, แก้ม, ริมฝีปาก, คาง, ใต้ตา
- เหมาะกับใคร: ต้องการลุคธรรมชาติ ผิวไม่ดูบวม เคลื่อนตัวน้อย
- จุดเด่น: HA filler แรกที่ได้รับ FDA ในสหรัฐฯ เทคโนโลยี OBT/NASHA ทำให้เนื้อสัมผัสมีความยืดหยุ่นและคงรูป Restylane Defyne เหมาะสำหรับเสริมคางแบบไม่ต้องผ่าตัด ผลอยู่ได้นาน ~ 1 ปี
6. NEAUVIA (อิตาลี)
- จุดฉีดที่เหมาะสม: เติมโครงหน้า เช่น คาง, กรอบหน้า พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน
- เหมาะกับใคร: ผู้ที่ต้องการยกกระชับ & เติมโครงหน้า + ต้องการผลลัพธ์ยาวนานประมาณ 1 ปี
- จุดเด่น:สารเติมเต็มชนิด HA ผสม calcium hydroxyapatite กระตุ้นคอลลาเจน เหมาะกับจุดยกกระชับและโครงหน้า
ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน?
ระยะเวลาของการคงตัวของฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด ยี่ห้อที่เลือกใช้ และการดูแลตัวเองหลังฉีด โดยทั่วไปมีระยะเวลาคร่าว ๆ ดังนี้:
ตำแหน่ง | ระยะเวลาคงตัวโดยประมาณ |
ฟิลเลอร์หน้าผาก | 6 – 12 เดือน |
ฟิลเลอร์ขมับ | 18 – 24 เดือน |
ฟิลเลอร์ใต้ตา | 6 – 9 เดือน |
ฟิลเลอร์แก้ม | 12 เดือน |
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม | 12 เดือน |
ฟิลเลอร์ปาก | 6 – 12 เดือน |
ฟิลเลอร์คาง | 8 – 24 เดือน |
ฟิลเลอร์กรอบหน้า | 8 – 24 เดือน |
ฟิลเลอร์ริ้วรอย | 6 – 12 เดือน |
การฉีดสลายฟิลเลอร์คืออะไร?
การฉีดสลายฟิลเลอร์ หรือ Dissolving Filler คือ การใช้เอนไซม์ Hyaluronidase เพื่อย่อยสลายโมเลกุลของฟิลเลอร์ให้ออกฤทธิ์สลายตัวจนหมด เหมาะสำหรับกรณี:
- ฟิลเลอร์เป็นก้อน
- ฉีดผิดตำแหน่ง
- ไม่พอใจกับผลลัพธ์
✅ ปลอดภัยหากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์
ฉีดฟิลเลอร์แล้วเห็นผลเมื่อไหร่?
คุณจะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด แต่จะยังมีอาการบวมหรือแดงเล็กน้อย ซึ่งโดยทั่วไปจะเริ่มเข้าที่และดูเป็นธรรมชาติภายใน 2 – 4 สัปดาห์
ใครไม่ควรฉีดฟิลเลอร์?
ฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับบุคคลกลุ่มต่อไปนี้:
- ผู้ที่มีผิวติดเชื้อ หรือมีการอักเสบ
- ผู้มีประวัติลมพิษหรือภูมิแพ้รุนแรง
- ผู้มีปัญหาเลือดออกง่าย หรือใช้ยาละลายลิ่มเลือด
- ผู้ที่แพ้สารคอลลาเจนหรือยาชา
- ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับบริการทุกครั้ง
ทำไมหลังฉีดฟิลเลอร์ควรดื่มน้ำเยอะ?
ฟิลเลอร์คือสาร Hyaluronic Acid ซึ่งมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี การดื่มน้ำมาก ๆ หลังฉีดจะช่วยให้ฟิลเลอร์ฟูตัวเต็มที่ ผิวดูชุ่มชื้น และ ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
แนะนำดื่มน้ำอย่างน้อย 1.5 – 2 ลิตร/วัน ในช่วง 7 วันแรก
ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม?
ไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บ เพราะก่อนฉีดจะมีการทายาชา และบางยี่ห้อของฟิลเลอร์ยังมีส่วนผสมของยาชาในเนื้อเจลอยู่แล้ว ทำให้ความรู้สึกเจ็บลดลงมาก